Monday, November 23, 2015

1st History of Japanese armour

บทที่๑

ประวัติชุดเกราะญี่ปุ่น

เขียนโดย Anthony J. Bryan แปล Thanaklang Sinsapsan
      นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การพัฒนาเกราะญี่ปุ่น หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
 ลองหาข้อมูลในบรรณานุกรมดูครับ

ก่อนประวัติศาสตร์

            เกราะญี่ปุ่นสมัยแรกสุดมักจะเป็นเหล็กหลายๆชิ้นประกอบขึ้นมา(ซึ่งความคิดผมก็กล้าพูดเหมือนกันว่าเกราะญี่ปุ่นเกือบทุกรุ่นทุกสมัยมันก็หลายๆชิ้นๆมาประกอบกัน) ซึ่งทรงมันจะออกสามเหลี่ยมแบบหยาบๆ แล้วก็ทาแล็คเกอร์ทับลงไปกันสนิม ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าสมัยนั้นเขาเรียกเกราะว่าอะไร
ผู้เชี่ยวชาญบางท่านก็เรียกว่า คาวาระ(Kawara)ซึ่งแปลว่า"กระเบื้อง" และนิยามอื่นๆคือเรียกว่า โยโรอิ ที่แปลว่า ชุดเกราะ
Two ancient armours
   (รูปตัวเกราะซ้าย)ทังโกะ(มีแต่ลำตัว) 
(รูปตัวเกราะขวา)เคโกะ









           เกราะแบบนี้ซึ่งภายหลังได้ถูกเรียกว่า ทังโกะ (tanko) ซึ่งแปลว่า เกราะตัวสั้นซึ่งมีบานพับไม่ก็เป็นแบบนำมาหุ้มบนตัว ซึ่งเปิดเกราะตรงหน้าอก ความแพร่หลายของเกราะทังโกะใช้กันในช่วงศัตวรรษที่ 4-6 จากนั้นสมัยหลังๆก็จะมีแบบเชือกถัก ซึ่งรวมไปถึงเกราะกระโปรง และตัวบังไหล่
(สองคนซ้าย)เกราะทังโกะที่ประกอบกระโปรงลงไปแล้ว
(สองคนขวามีหนวดเครา)เกราะเคโกะ


"เกราะนี้มันมีชิ้นสำหรับประกอบมากกว่า 6 ชนิดที่ใช้ในเกราะตัวเดียว "
                เกราะทรงใหม่นี่ได้บดบังการมีตัวตนอยู่ของเกราะทังโกะ และได้นำแบบมาใช้ ซึ่งจะใช้ไปอีกนาน    ทังโกะได้ถูกเลิกใช้และถูกแทนที่ด้วยเกราะที่ใช้กันอย่างมากมายในแผ่นดินใหญ่
               การทำเกราะแบบเอาชิ้นเล็กประกอบเข้าด้วยกัน(Scale) เกราะทังโกะจะใช้สะโพกในการประคองเกราะ ในขณะที่เกราะสมัยใหม่นี่แขวนอยู่บนบ่า นักประวัติศาสตร์ได้ให้นิยามชื่อของเกราะดังกล่าวว่า เคโกะ(เกราะแขวนบ่า)
                       โดยหลักๆแล้วเกราะมันก็คล้ายๆกับทรงนาฬิกาทราย เกราะเคโกะนั้นเปิดส่วนผ่ากลางหน้าอก ในตอนช่วงสมัยแรกๆ(ศัตวรรษที่6-9)  เคโกะเอาจริงๆแล้วสลับซับซ้อนมากกว่าเกราะสมัยหลังๆ เกราะนี้มันมีชิ้นสำหรับประกอบมากกว่า 6 ชนิดที่ใช้ในเกราะตัวเดียว ซึ่งมากชนิดที่สุดในบรรดาเกราะทั้งหมด
                      ด้วยความพยายามอย่างมากของ ศาสตราจารย์ สึเอนากะ มาซาโอะ นักธรณีและนักประวัติศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งทำการค้นคว้าค้นหาเรื่องที่ท่านเขาเรียนรู้การทำชุดเกราะอยู่อย่างระมัดระวังมาก  โดยการศึกษาจากเกราะที่พอค้นหาได้จาก ที่มีการค้นพบมาจากไต้ดิน
                      การเข้ามาของศาสนาพุทธในช่วงศัตวรรษที่ 6
ทำให้มีการนำออกของสุสานในสมัยนั้นจนทำให้ยากแก่การศึกษาประวัติหลายๆอย่าง จากสุสานหลุมสุดท้ายในช่วงศัตรวรรษที่8-9ที่มี่การค้นพบจังคาดการได้ว่าเรามีช่องว่างในการสันนิษฐาน
ว่าอันใหนมาก่อนมาหลัง แต่เกราะที่มีการค้นพบนั้นพอจะยืนยันได้ว่า เกราะรุ่น อูชิราเกะชิกิ เคโกะ
เป็นหนึ่งในเกราะรุ่นสุดท้ายของ เกราะตระกูลเคโกะทั้งหมดก่อนที่จะมีการไปใช้เกราะรุ่นหลังๆทั้งหมด










ยุคกลางตอนต้น

            ชุดเกราะสุดคลาสสิก ไม่ว่าจะหนัก เหลี่ยมๆกลมๆเรียกว่า โอโยโรอิ(เกราะใหญ่) จริงๆแล้วเรียกว่าโยโรอิ เกราะนี้ทำมาจาก แผ่นหนังเคลือบแล็คเกอร์เย็บเข้าด้วยกัน ในอีกนัยยะคือเกราะตัวนี้ไม่ค่อยแข็งแรงมากนัก แต่ด้วยความที่มันถักขึ้นมาแบบถี่ๆเลยทำให้เกราะนี้มีค่า ดูมีมนต์ขลัง ด้วยบางครั้งทำชุดเกราะออกมาหลากสีราวๆ6สี ถักขึ้นมาเป็นสีแบบปีระมิด ตอนนี้เกราะพวกนี้อยู่ในโอยามาสุมิ จินจา ซึ่งถูกสร้างขึ้นในช่วงยี่สิบปีแรกของช่วงศัตวรรษที่ 10 เกราะนี้คือเกราะสุดท้ายที่ใช้หลักการประมาณเศษเสี้ยว
ของโครงสร้างเกราะ เคโกะ การถักจะเกิดจากการถักจากบนลงล่างไปในแนวตั้ง ซึ่งหลักการการถักนั้นปรากฏในเกราะโมเดลขนาดเล็ก ซึ่งเป็นของสะสมยอดนิยมของคนชั้นสูง
            เกราะเหล่านี้ภายหลังมีการพัฒนาให้มีการเย็บแบบมีเย็บลงออกจากรูแล้วแทยงไปทางซ้ายเล็กน้อยแล้วก็ขึ้นกลับ(คือการเย็บแบบบนลงล่างแล้วก็ถักไปทางขวา) ซึ่งเป็นมาตรฐานยอดนิยมในเวลาต่อมา คุณลักษณะสำคัญของ โอโยโรอิคือการมองมุมมองจากที่สูง จะทำให้เห็นเกราะมันออกทรงเป็นตัว C
ซึ่งจะเปิดด้านขวาแบบโจ่งแจ้งและชัดเจน มีกระโปรงโคตรใหญ่สามด้านล้อมรอบ ซึ่งสร้างจาก โคซาเน่ ถักติดไปกับตัวเกราะด้านหน้า ซ้ายและหลัง ด้านขวาจะถูกปกป้องด้วยเหล็กชิ้นเรียกว่า "ไวดาเตะ"ซึ่งสะพายเอาให้ทิ้งไปด้านขวา บังไหล่สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่สองชิ้นเรียกว่า "โอโซเดะ" ซึ่งมหึมามากๆติดไปกับที่คาดไหล่ จากนั้นก็ร้อยเข้าไปในแผ่นเหล็ก(ที่ติดอยู่บนสายคาดหัวไหล่)เข้าไปติดตั้งตรงส่วนนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้คอถูกฟัน
            จากนั้นก็ใช้เหล็กแผ่นกับ อีกแผ่นที่ใช้ โคซาเนะ สองแผ่นดังกล่าวผูกติดใว้ตรงอก อีกแผ่นเรียกว่า เซ็นดัน โนะ อิตะ(Sendan no ita) และคิวบิ โนะ อิตะ(Kyubi no ita) เซ็นดันจะเหมือนกับโซเดะย่อส่วน ซึ่งติดตั้งอยู่ตรงอกฝั่งขวา(ของผู้ใส่) ส่วนคิวบิ จะเป็นเหล็กแผ่นยาวและแคบ จะถูกติดตั้งทางฝั่งซ็าย ซึ่งสองชิ้นนี้จะติดตั้งอยู่ตรงหน้าอกของด้านหน้าเกราะ
            โอโยโรอิในสมัยแรกๆนั้นมีกระโปรงแถวของเกราะไม่มากในข้างหน้าและข้างหลัง ไม่เถียงเลยว่ามันทำให้ขี้ม้าง่ายขึ้น ภายหลังเริ่มราวๆ ศัตวรรษที่ 12ส่วนประกอบของกระโปรงนั้นใหญ่โตเต็มรูปแบบ แต่ข้างหน้ากับหลังหลังแถวล่างสุดจะแบ่งเป็นสองส่วนเพื่อให้วิ่งได้ไม่เกะกะเข่ามากนัก

          ช่วงราวๆศัตวรรษที่ 14 เกราะแขนเริ่มถูกติดเพิ่มลงมาที่แขนซ้าย ก่อนหน้านั้นชิ้นส่วนป้องกันจะถูกพับและติดตั้ง อยู่บนตัวแผ่นหนังป้องกันหลัก แต่ตอนนี้จะมีเหล็กชิ่นที่ไกล้เคียงกับ มุไนตะ(แผ่นหน้าอก) ซึ่งติดลงไปบนแขน สิ่งนี้จะทำให้เกราะมีความแข็งแกร่งขึ้นซึ่งเพิ่มการป้องกันในส่วนจักแร้และดันทรงเกราะให้มั่นคงด้วย และส่วนที่ เป็นห่วงเรียกว่า อาเกะมากิ โนะ คัง ซึ่งมีใว้สำหรับแขวนเชือกเงื่อนอาเกมากิ(เชือกทรงคล้ายผีเสื้อกางปีก) จากนั้นก็เอาห่วงที่ติดตั้งกับโซเดะ(ซึ่งอยู่แถวหลังของจุดดังกล่าว)มา
ผูกติดกับข้างหลังซึ่งจะทำให้ โซเดะ ไม่ขยับไปๆมาๆ

A general in an ô-yoroi
A general in an ô-yoroitypical of the 12–15th C.
     ด้านหน้าของลำตัวนั้นทำจากผ้าหนังที่เขียนภาพลงไปตรงหน้าท้องเรียกว่า  สุรุบาชิริ เพื่อไม่ให้สายธนูไปติดกับตัวเกราะตอนยิงธนู สมัยนั้นต้องยอมรับว่าซามูไรในยุคนั้นนิยมสู้รบกันด้วยอาวุธธนูซึ่งแน่นอนว่าธนูจะต้องผ่านหน้าท้องและสายจะต้องผ่านระนาบกกหูเป็นเรื่องปกติ(หมวกอันใหญ่โตสร้างขึ้นมาเพื่อหลักเลี่ยงการที่สายธนูมาเกี่ยวกับหมวกด้วยเช่นกัน)
นี่เป้นการพัฒนาที่มีหลักการและมีเหตุผลซึ่งรูปแบบจะเป็นอะไรที่ใช้ไปแทบจะทั้งตัวเกราะ บนสายคาดบ่า หน้าท้อง ส่วนปีกหมวกที่มันแลดูคล้ายแม่เบี้ย ส่วนบนของ Sode ฯลฯ นักรบในสมัยแรกสุดจะใส่เกราะแขนเพียงข้างเดียวหรือโคเทะ(Kote) ซึ่งจะสวมแค่ข้างซ้าย ซึ่งเหตุผลหลักก็เพื่อกันไม่ให้สายธนูไปเกี่ยวกับตัวเกราะ ซึ่งก็ไม่ค่อยได้กันอะไรมากมายนัก จนกระทั่งในศัตวรรษที่ 13 กลายเป็นของที่ใช้กันแพร่หลายมากขึ้น โคเทะจะต้องสวมใส่ลงไปและผูกไขว้ลงไปแถวสีข้าง ก่อนที่จะใส่ชุดเกราะ จากนั้นก็ใส่ ไวดาเตะติดใว้ตรงสีข้างแล้วไขว้ใว้ตรงไหล่ซ้าย นักรบมักจะใส่เกราะชิ้นนี้คือเกราะบังคอ(Nodowa) และสนับแข้งหรือสึเนะอาเทะ(Suneate) ซึ่งจะแต่งประมาณนี้เวลาอยู่ในค่ายซึ่งเรียกอีกนัยยะนึงคือแต่งแบบครึ่งท่อนนั่นเอง ซึ่งบางครั้งชาวญ๊่ปุ่นในสมัยนั้นเรียกว่า โคกุโซกุ(Kogusoku) หรือ เกราะน้อย

โอโยโรอินี่เอาจริงๆแล้วทั้งหใญ่และเทอะทะ และแน่นอนราคาแพง สำหรับทหารรุ่นใหม่หรือทหารที่ยศต่ำลงมา จึงมีการพัฒนาเกราะ โดมารู และฮารามากิขึ้นมาเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ เกราะเหล่านี้มีกระโปรงมากกว่าและค่อนข้างแน่นหนาไปบนตัวคนสวมใส่
ซึ่งโดมารูออกแบบมาให้มีช่องสวมใส่ทางด้านขวา ส่วนฮารามากิเปิดทางด้านหลัง

ยุคกลางช่วงไกล้

A Kamakura-period warrior wearing a haramaki
เกราะฮารามากิ ช่วงราวๆศัตวรรษที่ 14-15 typical of the 14–15th centuries.
         ช่วงสมัยคามากูระ(ค.ศ.1183-1333) โอโยโรอิ เป็นเกราะหัวหน้าใหญ่ที่สุดในบรรดาเกราะ แต่มีการค้นพบว่าโดมารูเบากว่าและใส่ง่ายและสบายกว่า โอโยโรอิ และเริ่มเป็นที่แพร่หลายและใช้กันมากขึ้น จนกระทั่งกลางยุคของของมุโรมราจิ(ค.ศ. 1333-1568) โอโยโรอิเริ่มไม่มีคนใส่ในที่สุด สมัยแรกๆ โดมารูไม่มีเกราะบังไหล่ เหมือนกับโอโยโรอิในสมัยแรกสุด แต่เกราะก็เริ่มจะมีโซเดะกันในช่วง 1250 โดมารูนั้นติดโซเดะกันได้อย่างลงตัว เหมือนกับที่ติดกับโอโยโรอิ  ในขณะที่เกราะฮารามากิในสมัยแรกๆจะมีบังไหล่ที่แลดูคล้ายๆกับแผ่นใบไม้ หรือเรียกกันว่า เกียวโย(gyôyô) ใช้ในการป้องกันหัวไหล่ ภายหลังพวกเขาได้ย้ายไปอยู่ตรงหน้าอกแทนที่พวก เซ็นดัน โนะ อิตะ และ เคียวบิ โนะอิตะ และก็เอาโซเดะมาติดบน บ่าของตัวเกราะฮารามากิ
          เกราะหน้าตัก เรียกว่าไฮดาเตะ(Haidate) ซึ่งปรากฏขึ้นชในช่วงราวๆกลางศัตรวรรษืั้ 13 แต่ไม่ค่อยมีใช้กันแพร่หลายมากนักเพราะเป้นการใช้โคซาเนะถักขึ้นมา จนกระทั่งมีการใช้กันแพร่หลายในศัตวรรษต่อมา ด้วยนวัตกรรมที่มีเหล็กเย็บด้วยโซ่มาเกี่ยวข้องมาติดปิดหน้าตัก และดูไม่ค่อยแตกต่างจากเกราะสามเหลี่ยมที่แปะอยู่หน้าตักซึ่งรูปแบบก็แทบจะไม่เปลี่ยนหน้าตาเลยมีอีกร้อยปี ซึ่งสิ่งนี่ทำให้ฮากามะแบบขาสั้นได้กลายเป็นอดีตไป
          การจะทำให้มาก และรวดเร็วเพียงพอต่อความต้องการ และแน่นอนการถักแบบกากบาท สุงาเกะ(Sugake Odoshi) จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งมีเกราะที่แสนโด่งดังที่มีการถักแบบถี่หรือเคบิกิ (Kebiki Odoshi) บนลำคัวและ ตรงกระโปรงก็ถักแบบสุงาเกะ ถึงกราะนั้นตัวเกราะก็เป็นแบบชิ้นส่วนประกอบขึ้นมา ภายหลังช่วงราวๆศัตวรรษที่ 16 เกราะก็เริ่มเป็นเหล็กแผ่นๆมากกว่าจะเป็นแบบชิ้นๆประกอบ
แต่บ่อยครั้งที่เกราะพวกนี้ก็ยังเย็บแบบเคบิกิอยู่ แต่ก็ยังไม่บ่อยเท่ากับเกราะที่ใช้สูตรถักแบบซูงาเกะ

ปลายยุคกลาง

A dô-maru of the 16th century
dô maru of the sixteenth century.
      50ปีให้หลังของศัตรวรรษที่ 16 มักจะถูกเรียกว่า"ยุคสงครามกลางเมือง(Sengoku jidai)" ในช่วงเวลานี้มีสงครามอย่างต่อเนื่อง
เหล่าจ้าวผู้ครองแคว้น(Daimyo)ได้แข่งขันชิงอำนาจและดินแดนกันของเพื่อนบ้านและคู่แข่ง
บางคนถึงกับอยากจะเป็นจ้าวผู้ครองแผ่นดิน(Tenkaibito)กันเลยทีเดียว มีเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่พอจะไปถึงขั้นนั้นได้ก็มีโอดะ โนบุนางะ (1534–1582) และ โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ (1536–1598) ในช่วงเวลาห้าสิบปีนี้เราจะได้เห็นการพัฒนาเกราะที่ก้าวหน้าไปไกลมาก ไม่ว่าจะการพัฒนา นวัตกรรม และความปราณีตในตัวเกราะที่มีมากกว่าสมัยก่อนหน้านี้
เกราะได้เปลี่ยนไปเป็นอย่างเช่น ถักแบบจัดเต็มกลายเป็นห่าง กลายเป็นแบบตอกรีเวท และกลายเป็นแบบเหล็กชิ้นเดียว ขั้นตอนเหล่านี้หมายถึงเกราะจะมีราคาที่ถูกลงและทำได้เร็วขึ้นมากกว่าเกราะรุ่นก่อนหน้านี้มาก

      หนึ่งในอิทธิพลของการเปลี่ยนแปลงกรรมวิธีในการทำเกราะก็คืออาวุธปืน(Arquebus) หรือภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า เท็ปโป(Teppo) ทาเนะงาชิมะ(Tanegashima)หรือ ฮินาวะ จู(Hinawa-ju)(คำแรกคือคำที่เรียกใช้กันแพร่หลายมากที่สุดในช่วงราวๆนี้) ซึ่งเกราะจะหนักขึ้นแต่ก็จะรอดจากลูกปืนมากขึ้นสำหรับใครที่ทนแบกรับน้ำหนักมันได้ในท้ายสุด เกราะลำตัวที่หนักและหนามากก็ปรากฏตัวออกมา มีคนรอดกลับมาจำนวนมากและหลักฐานหลายๆอย่างที่พิสูจน์ความฝีมือและสามารถของช่างทำเกราะ



เกราะจากสมัยศัตวรรษที่ 16 ทุกตัวคือ นิไมโด(ni-mai dô) 
      เกราะเหล่านี้ก็ได้ถูกแนะนำมาจากพวกนักประวัติศาสตร์ที่ว่าความแข็งแกร่งของเกราะรีเวทนั้น
และเกราะที่ทำมาจากเหล็กแผ่นชิ้นเดียว ล้วนได้แรงบันดาลใจมาจากเกราะของพวกชาวยุโรป
ซึ่งถึงกระนั้นมันก็เป็นการพัฒนาไปอีกขั้นของการทำเกราะของช่างญี่ปุ่น
เกราะของชาวยุโรปนั้นอันที่จริงก็มีความเป็นเอกลักษณ์ของมันจนกลายเป็นสัญลักษณ์
ซึ่งมีการผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นลงไปจนกระทั่งเหลือแค่หมวกกับเกราะลำตัวที่ยังหลงเหลือ
ซึ่งมันถูกให้มีการทำให้"กลายเป็นญี่ปุ่น(Japanified)" อย่างเช่นเติมกระโปรงแบบญี่ปุ่นลงไป(ซึ่งพวกเราก็รู้จักกันดี)และมีการเติมเกราะป้องกันต้นคอลงไปด้วย
                   
                    อันที่จริงแล้วซามูไรมีเกราะหลากหลายรูปแบบมาก เมื่อมันมีการพัฒนาเกราะแขนและขา     ในช่วงเวลานี้มีมากกว่าทุกครั้งที่เคยมีมา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้อยู่ในกรอบของความเป็นเอกลักษณ์และความสวยงาม สำหรับการเปลี่ยนแปลงของเกราะ โปรดอ่านหมวด ชุดเกราะ

Two typical "munitions" armourers for retainers of the sengoku period.
เกราะสองตัวนี้เป็นเกราะที่ใส่โดยพวกข้าบริวารอันซ้ายคือ เกราะโฮโคเทะ และอันขวาคือ เกราะโอเคะกาว่า

        นักรบจำนวนมากในสนามรบที่สุดท้ายลงเอยด้วยการต้องการที่จะแยกมิตรให้ออก
ซึ ่งในระยะหลังมีการติดธงให้สามารถแยกมิตรศัตรูออกได้ง่ายขึ้น ซึ่งเรียกว่า ธงบอกฝ่ายหรือ ซาชิโมโน(sashimono) ซึ่งมันถูกติดตั้งใว้ที่กลางหลัง
รูปแบบอื่นก็จะมีการเขียนสัญลักษณ์ใว้ที่หน้าท้องของเกราะ
 นี่เป็นอะไรที่ทั่วไปๆและหาดูได้ยากมากสำหรับพวกคนที่มียศสูงๆ
คนมียศจะเป็นพวกที่จะบอกตำแหน่งด้วยเครื่องประดับที่ติดบนหมวก
ซึ่งจะเห็นได้บ่อยมากในภาพยนต์หลายๆเรื่องซึ่งจะบอกเจ้าของเกราะได้อย่างชัดเจน
เช่นในยุโรป นโปลียอง(นโปเลียน)จะใส่หมวกทรงกลีบ เชอร์ล็อค โฮล์มจะใส่หมวกทรงพรานล่ากวางฝรั่ง เป็นต้น

ช่วงเวลาหลังช่วงเวลา

ช่างทำเกราะพัฒนาเกราะมากมาย หลังจากยุค 1600 ซึ่งใช้รบจริงไม่ค่อยได้ซึ่งเป็นช่วงเวลาความสงบสุขของญี่ปุ่น เมื่อสงครามได้จากหายไปจากชีวิตของช่างทำเกราะ ชุดเกราะส่วนใหญ่ที่อยู่พิพิธภัณฑ์เกือบทั้งหมดก็จะมาจากช่วงเวลานี้

หากบางตัวมันดูผิดแผกไปจากเกราะเหล่านี้ก็อย่าแปลกใจ มันคงจะเป็นเรื่องง่ายๆที่จะสร้างชุดเกราะที่มีแบบมาจากพิพิธภัณฑ์ การจะเลี่ยงจุดนี้ ผมแนะนำให้ทำให้ได้เคียงกับชุดเกราะในช่วงสมัยสงครามจะดีที่สุดครับ

                  ในปี ค.ศ.1700 อาราอิ ฮากุเซกิได้เขียนตำรา เกี่ยวกับความรุ่งโรจน์ของ "รูปแบบเกราะโบราณ"โดยเฉพาะเกราะที่ย้อนไปได้ถึงในยุค ปีค.ศ. 1300 ฮากุเซกิได้ตำหนิกรรมวิธีของเกราะเกือบทั้งหมดว่าได้ลืมกรรมวิธีการทำเกราะ และลืมวิธีสวมใส่ชุดเกราะ
หนังสือของท่านฮากุเคกิเป็นหนังสือที่สำคัญมากสำหรับการรำลึกรูปแบบการทำเกราะยุคเก่าๆ
แม้จะมีการกลั่นกรองวิธีการทำเกราะให้ดูไกล้เคียงกับเกราะในสมัยนั้น ซึ่งเป็นการอนุรักษ์ที่แหกคอกวิธีการทำเกราะในสมัยนั้น(ซึ่งก็คงไม่ต่างจากสมัยนี้ที่เหมือนบ้านเราอ่ะยกกองอวยมาหลับหูหลับตาอวย แต่ก็แอบคิดนะว่าสมัยนั้นกองอวยคงจะไม่เกรียนเหมือนบ้านเรา)
                  ในปี 1799 นักประวัติศาสตร์ชุดเกราะนาม ซาซากิบาระ โคซานได้พยายามเขียนตำราวิธีทำชุดเกราะซึ่งได้ประณามจารีตของพวกที่ทำเกราะโบราณที่จะชอบอ้างว่าทำเกราะมาถูกต้อง
หนังสือของเขาได้ส่งผลให้มีการรื้อฟื้นกรรมวิธีการทำรูปแบบหน้าตาของเกราะ
และแน่นอนช่างทำเกราะก็เริ่มที่จะทำเกราะที่ถูกต้องตามกรรมวิธีโบราณที่นิยมใช่กันในช่วงศัตวรรษที่ 16

No comments:

Post a Comment